Haven't You Forgotten
Something?
Aenean vitae porta nisl, nec feugiat neque. Maecenas luctus magna eu elit dapibus, a porttitor lacus euismod.
[products limit="2" columns="2" on_sale="true"]
[products limit="2" columns="2" on_sale="true"]
วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งต้องใช้ไขมันและแร่ธาตุมาช่วยในการดูดซีมเข้าสู่ร่างกาย โดยร่างกายคนเราสามารถเก็บสะสมวิตามินเอได้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานอาหารเสริมทดแทนทุกวันแต่อย่างใด วิตามินเอแบ่งเป็น 2 ชนิด
วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งต้องใช้ไขมันและแร่ธาตุมาช่วยในการดูดซีมเข้าสู่ร่างกาย โดยร่างกายคนเราสามารถเก็บสะสมวิตามินเอได้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานอาหารเสริมทดแทนทุกวันแต่อย่างใด วิตามินเอแบ่งเป็น 2 ชนิดคือ วิตามินเอแบบสำเร็จที่เรียกว่า เรตินอล Retinol (พบในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น) และโปรวิตามินเอหรือแคโรทีน (พบทั้งพืชและสัตว์)
ซึ่งวิตามินเอนั้นมีหน่วยวัดเป็น IU, USP และ RE โดยที่นิยมใช้กันมากก็คือหน่วย IU แหล่งอาหารของวิตามินเอที่พบได้โดยทั่วไป เช่น น้ำมันตับปลา ตับ แคร์รอต ผักสีเหลืองและเขียวเข้ม ผักตำลึง ยอดชะอม คะน้า ยอดกระถิน ผักโขม ฟักทอง มะม่วงสุก บรอกโคลี แคนตาลูป แตงกวา ผักกาดขาว มะละกอสุก ไข่ นม มาร์การีน ผลไม้สีเหลือง เป็นต้น
โทษของวิตามินเอ ได้แก่ อาการปวดกระดูก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ประจำเดือนมาไม่ปกติ ผมร่วง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ผิวลอก ผมร่วง ตามัว ผดผื่น และอาการตับบวมโต โดยอาจเป็นอันตรายได้สำหรับวัยผู้ใหญ่ที่รับประทานมากกว่า 50,000 IU ต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายเดือน และสำหรับหญิงตั้งครรภ์อาจแท้งลูกได้หากรับประทาน 18,500 IU ต่อเนื่องกันทุกวัน ส่วนเบต้าแคโรทีน หากทานมากกว่า 34,000 IU ต่อเนื่องกันทุกวัน สีผิวอาจเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองได้ และศัตรูของวิตามินเอ ได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนและแคโรทีนจะทำงานขัดแย้งกันกับวิตามินเอ หากในร่างกายมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอ
ประโยชน์ของวิตามินเอ